เจาะลึก "เครื่องพ่นสี": พลิกโฉมงานทาสีให้รวดเร็ว สวยเนียน และประหยัดยิ่งขึ้น
ในยุคที่ความรวดเร็วและคุณภาพคือหัวใจสำคัญของทุกงาน ไม่เว้นแม้แต่การทาสี "เครื่องพ่นสี" (Paint Sprayer) ได้เข้ามาปฏิวัติวิธีการทาสีแบบดั้งเดิมที่ใช้แปรงและลูกกลิ้ง ให้กลายเป็นการทำงานที่ง่ายขึ้น เร็วขึ้น และได้ผลลัพธ์ที่สวยงามสม่ำเสมอ เครื่องพ่นสีไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังแพร่หลายในงานบ้าน งาน DIY และงานช่างมืออาชีพทั่วไป
เครื่องพ่นสี มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยมีการพัฒนาต่อยอดมาจากเครื่องพ่นละออง (atomizer) และแปรงทาสีแบบใช้มือ
จุดเริ่มต้นและการคิดค้นที่สำคัญ
เครื่องพ่นสีมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1887 โดยเริ่มจากการประดิษฐ์เครื่องพ่นสีแบบดั้งเดิมโดย โจเซฟ บิงส์ (Joseph Binks) ซึ่งใช้ในการทาสีขาวหลังเหตุการณ์ไฟไหม้ใหญ่ใน
ชิคาโก ต่อมามีการพัฒนาและปรับปรุงเทคโนโลยีเครื่องพ่นสีในหลากหลายด้าน เช่น
- ปี 1887 (พ.ศ. 2430): โจเซฟ บิงส์ ได้ประดิษฐ์เครื่องพ่นสีแรกที่ใช้ในงานทาสีขาว (whitewash) โดยเครื่องสูบมือที่มีหัวฉีดและภาชนะบรรจุสีแบบมีแรงดัน ช่วยประหยัดเวลาในการทำงานเมื่อเทียบกับการใช้แปรง
- ปี 1888 (พ.ศ. 2431): ดร. อัลเลน เดวิลบิสส์ (Dr. Allen DeVilbiss) พัฒนาเครื่องพ่นละออง (atomizer) ใช้ในทางการแพทย์ โดยอาศัยหลักการของอากาศอัดในการกระจายละออง
- ปี 1907 (พ.ศ. 2450): โทมัส เดวิลบิสส์ (Thomas DeVilbiss) ลูกชายของดร. อัลเลน ปรับปรุงเครื่องพ่นสีเป็นเครื่องมือพ่นสีมือถือที่ใช้ลม ช่วยเร่งเวลาในการทำสีรถยนต์จากหลายสัปดาห์เหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง
- ช่วงปี 1930s: เครื่องพ่นสี HVLP (High Volume Low Pressure) ถูกพัฒนา ซึ่งมีการใช้ความดันต่ำในการพ่นสี แต่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปี 1990s เนื่องจากการออกกฎหมายควบคุมสารระเหยง่าย (VOCs)
- ช่วงปลายทศวรรษ 1940s: แฮโรลด์ แรนส์เบิร์ก (Harold Ransburg) จดสิทธิบัตรเครื่องพ่นสีแบบไฟฟ้าสถิต (Electrostatic painting) ช่วยประหยัดสีและทำให้อนุภาคสีติดพื้นผิวได้อย่างสม่ำเสมอ
- ปี 1952 (พ.ศ. 2495): เครื่องพ่นสีแบบไร้อากาศ (Airless Spray Gun) ได้รับการพัฒนา โดยใช้แรงดันสูงจากปั๊มเพื่อพ่นสี
หลักการทำงานของเครื่องพ่นสี
หัวใจหลักของเครื่องพ่นสีคือการ อัดแรงดัน ให้ของเหลว (สี) แตกตัวเป็นละอองเล็กๆ ผ่านหัวพ่น (Tip) แล้วพ่นออกไปเกาะติดกับพื้นผิว แรงดันที่ใช้ในการพ่นสามารถสร้างได้หลายวิธี ทำให้เกิดเป็นประเภทของเครื่องพ่นสีที่แตกต่างกัน
ประเภทของเครื่องพ่นสีและหลักการทำงาน
เครื่องพ่นสีสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักตามเทคโนโลยีการสร้างแรงดัน:
1. เครื่องพ่นสีระบบใช้ลม (Air Sprayer หรือ Conventional Air Spray)
- หลักการ: ใช้ลมอัดจากปั๊มลม (Air Compressor) เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก โดยลมจะผสมกับสีที่ถูกดูดขึ้นมาจากถังพัก แล้วพ่นออกไปเป็นละอองผ่านหัวฉีด
ข้อดี:
- ราคาไม่แพง: ตัวปืนพ่นสีมักมีราคาถูก
- ละอองสีละเอียด: สามารถปรับการฟุ้งกระจายของละอองสีได้ละเอียด ทำให้เหมาะกับงานที่ต้องการความปราณีตสูง เช่น งานเฟอร์นิเจอร์ งานตกแต่งรถยนต์
- ควบคุมง่าย: ช่างสามารถควบคุมรูปแบบการพ่นและความหนาของสีได้ดี
ข้อเสีย:
- สิ้นเปลืองสี: เนื่องจากมีลมเป็นตัวพ่น ทำให้เกิดละอองสีฟุ้งกระจาย (Overspray) ในอากาศสูง อาจสิ้นเปลืองสีมากกว่าประเภทอื่น
- ต้องมีปั๊มลม: จำเป็นต้องมีปั๊มลมขนาดที่เหมาะสม ซึ่งอาจเพิ่มต้นทุนและข้อจำกัดในการเคลื่อนย้าย
- ความเร็วปานกลาง: เหมาะกับงานที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ
2. เครื่องพ่นสีแรงดันต่ำ ใช้ปริมาณลมมาก (HVLP - High Volume Low Pressure)
- หลักการ: เป็นการพัฒนาต่อยอดจากระบบใช้ลม โดยใช้ปริมาณลมที่สูงมาก แต่ใช้แรงดันที่ต่ำกว่า (ประมาณ 10 PSI ที่หัวฉีด) เพื่อลดการฟุ้งกระจายของสี
ข้อดี:
- ประหยัดสี: ลดการฟุ้งกระจายของสีได้ดีกว่าระบบใช้ลมธรรมดา ทำให้ประหยัดสีได้ถึง 65-75%
- คุณภาพผิวงานดี: ยังคงให้ละอองสีที่ละเอียดและผิวงานที่เรียบเนียน
- เหมาะกับงานภายใน: ลดละอองสีที่ฟุ้งกระจาย ทำให้เหมาะกับการทำงานในพื้นที่ปิดมากขึ้น
ข้อเสีย:
- ราคาอุปกรณ์สูงกว่า: ปืนพ่น HVLP และปั๊มลมสำหรับ HVLP มักมีราคาสูงกว่าระบบใช้ลมทั่วไป
- ความหนืดสีจำกัด: อาจมีข้อจำกัดกับสีที่มีความหนืดสูงมากๆ
- ความเร็วปานกลาง: เหมาะกับงานที่เน้นคุณภาพและความประหยัด
3. เครื่องพ่นสีแรงดันสูงไร้อากาศ (Airless Paint Sprayer)
- หลักการ: ใช้ปั๊มแรงดันสูง (มักเป็นปั๊มลูกสูบหรือปั๊มไดอะแฟรม) บีบอัดสีโดยตรงให้ผ่านหัวพ่นขนาดเล็ก ด้วยแรงดันที่สูงมาก (2,000 - 3,500 PSI หรือมากกว่า) ทำให้สีแตกตัวเป็นละอองโดยไม่ใช้ลม
ข้อดี:
- ความเร็วสูงสุด: สามารถพ่นสีได้รวดเร็วที่สุด ครอบคลุมพื้นที่ได้มากในเวลาอันสั้น เหมาะกับงานพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น บ้าน อาคาร รั้ว
- ใช้กับสีหนืดได้ดี: สามารถพ่นสีที่มีความหนืดสูงได้หลากหลายประเภท เช่น สีน้ำ สีน้ำมัน สีรองพื้น สีกันซึม
- ประหยัดสี (สำหรับงานใหญ่): แม้จะมีการฟุ้งกระจายอยู่บ้าง แต่ความเร็วในการทำงานทำให้ประหยัดเวลาและแรงงานโดยรวมได้มาก
- ผิวงานเรียบสม่ำเสมอ: ให้ผิวงานที่เรียบเนียนและสม่ำเสมอสูง โดยไม่มีรอยแปรงหรือลูกกลิ้ง
ข้อเสีย:
- ราคาสูง: เป็นเครื่องพ่นสีที่มีราคาสูงที่สุด
- ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ: แรงดันสูงมาก อาจเป็นอันตรายหากใช้งานไม่ถูกวิธี
- ทำความสะอาดยากกว่า: ต้องมีการล้างทำความสะอาดระบบปั๊มและท่ออย่างละเอียดหลังใช้งาน
- Overspray สูงกว่า HVLP: มีละอองสีฟุ้งกระจายค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับ HVLP เหมาะกับงานภายนอกหรือพื้นที่ที่ป้องกันการฟุ้งกระจายได้ดี
----------------------------------------------------------------------------
รีวิวและรายละเอียดเพิ่มเติม Facebook
: หางาน รายได้ดี by PST
https://www.facebook.com/profile.php?id=100054608373504
: พี แมชโปร จำหน่ายรถปั๊มคอนกรีตเครื่องพ่นปูนฉาบพร้อมศูนย์ซ่อมที่มีมาตรฐาน
https://www.facebook.com/PSTgroup.pmp
: พี เอส ที ทรานสปอร์ต - บริการปั๊มคอนกรีตและเครื่องพ่นปูนฉาบ
https://www.facebook.com/PSTTransportandservice
: เครื่องพ่นปูนฉาบ by PST
https://www.facebook.com/PST.PlasteringMaching
: ช่างสีมืออาชีพ by PST
https://www.facebook.com/PSTCoolPaint
: รถปั๊มคอนกรีต Everdigm by PST
https://www.facebook.com/PST.EverdigmPump
: รถปั๊มคอนกรีตมือสอง by PST
https://www.facebook.com/PSTUsedPump


ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น