เรื่องไฟฟ้า ที่ควรคำนึงถึงในการใช้ เครื่องพ่นปูนฉาบ ไฟบ้าน หรือ 220V.

 

เรื่องไฟฟ้า ที่ควรคำนึงถึงในการใช้ เครื่องพ่นปูนฉาบ ไฟบ้าน หรือ 220V.

 

ปัจจุบัน เครื่องพ่นปูนฉาบ เป็นที่นิยม และถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในหน่วยงานก่อสร้างต่างๆ โดยในช่วงเริ่มแรกประมาณ 15 ปีที่ผ่านมา เครื่องพ่นปูนฉาบ จะมีเฉพาะเครื่องพ่นปูนฉาบที่ใช้งานกับไฟ 3 เฟส หรือ 380-400V. โดยจะถูกใช้งานมากในงานคอนโดมิเนียม งานก่อสร้างโรงงานหรืออาคารขนาดใหญ่

           สาเหตุที่เครื่องพ่นปูนฉาบใช้ไฟ 3 เฟส หรือ 380-400V. เนื่องจาก มอร์เตอร์หลักหรือมอร์เตอร์ผสมปูน ของเครื่องพ่นปูนฉาบ เป็น มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส เป็นมอเตอร์ที่นิยมใช้งานกันทั่วไปในโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะมอเตอร์เหนี่ยวนำ 3 เฟส ชนิดที่มีโรเตอร์แบบกรงกระรอกมีข้อดีคือ ไม่มีแปรงถ่านทำให้การสูญเสียเนื่องจากความฝืดมีค่าน้อย มีตัวประกอบกำลังสูง การบำรุงรักษาต่ำ การเริ่มเดินทำได้ไม่ยาก ความเร็วรอบค่อนข้างคงที่ และ ทนทาน นั่นเอง

          ต่อมาเมื่อการใช้งานเครื่องพ่นปูนฉาบแพร่หลายจึงมีการนำไปใช้ ในงานบ้าน งานหมู่บ้าน ซึ่งหลายๆ แห่งมีเพียงไฟ 1 เฟส หรือไฟ 220V. เท่านั้น ทำให้โรงงานผู้ผลิตจึงได้ผลิตเครื่องพ่นปูนฉาบไฟบ้าน หรือไฟ 1 เฟส 220V. ออกมา  โดยมอร์เตอร์หลักของเครื่องยังคงใช้มอร์เตอร์ ไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส แต่เลือกใช้ขนาดมอร์เตอร์ที่กำลังลดลง และ เพิ่มอินเวอร์เตอร์เพื่อแปลงไฟฟ้า 1 เฟส 220V. เป็นไฟ 3 เฟส ในการใช้งาน โดยมีประเด็นสำคัญที่ต้องคำนึงถึงในการเข้าใช้งานและติดตั้งเครื่องพ่นปูนฉาบไฟบ้าน ดังนี้

1.    การต่อตู้ไฟ และกราวด์ ของหน้างาน

2.    ชนิดของสายไฟที่ใช้ และ ความยาวของสายไฟ ต่อ แรงดันไฟฟ้าตก

3.    การต่อเบรกเกอร์ กันดูด ในตู้ไฟ

      

1.    การต่อตู้ไฟ และ กราวด์ หน้างาน

เบื้องต้น ช่างที่ดำเนินการต่อสายไฟเข้าเครื่อง จะต้องทราบ สัญลักษณ์ไฟฟ้า และข้อกำหนดเบื้องต้น ของการไฟฟ้า คือ

·        สาย L (สาย Line) คือ สายไฟที่มีกระแสไฟฟ้าไหลอยู่ โดยไหลเข้าผ่านอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือเข้าเครื่องพ่นปูนฉาบ ไฟ มีแรงดันไฟฟ้า 220 โวลต์ 

·        สาย N (สาย Neutral) คือ สายที่ไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลอยู่ แต่เมื่อเวลาใช้งานกับอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือเครื่องพ่นปูนฉาบ จำเป็นต้องใช้ร่วมกันทั้ง 2 สาย เพื่อให้กระแสไฟฟ้าไหลครบวงจร L

·        สาย G (สาย Ground) คือ สายที่เชื่อมต่อจากอุปกรณ์ไฟฟ้าให้กระแสไฟฟ้าไหลลงดินเมื่อเกิดไฟฟ้ารั่ว เป็นการเพิ่มความปลอดภัยต่อการใช้งานไฟฟ้าของผู้ใช้งาน

·        ไฟ 1 เฟส และ 3 เฟส คือ

               

ไฟฟ้า 1 เฟส จะให้แรงดันไฟฟ้าที่ 220-230 โวลต์ มีความถี่ที่ 50 Hz โดยมีสายไฟในระบบ 2 เส้น ประกอบไปด้วยสายไลน์ L แบบมีไฟ 1 เส้น กับสายนิวทรอล N แบบไม่มีไฟ 1 เส้น ขณะที่ ไฟฟ้า 3 เฟส จะให้แรงดันไฟฟ้าระหว่างสายไลน์ Lกับไลน์ Lในขนาด 380-400 โวลต์  พร้อมการทำงานของแรงดันไฟฟ้าระหว่างสายไลน์ Lกับสายนิวทรอล N ในขนาด 220-230 โวลต์ และมีความถี่ที่ 50Hz โดยมีสายไฟในระบบถึง 4 สาย ที่ประกอบไปด้วยสายไลน์ L แบบมีไฟ 3 เส้น กับสายนิวทรอล N แบบไม่มีไฟ 1 เส้น

·        มาตรฐานการไฟฟ้า ต้องให้ต่อกราวด์ G ต่อร่วมกับ นิวตรอน N. (Bounding ground + neutron)

เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจาก สายไฟ นิวตรอน N ของการไฟฟ้าขาด เนื่องจากขาดเอง จากอายุการใช้งาน หรือโดนเกี่ยวขาด จะเกิดปัญหา N ลอย โดยสายไฟ นิวตรอน N มีศักดิ์ไฟฟ้าเป็น 0 V. เมื่อเกิดปัญหา N ลอย

ไฟฟ้าจาก 220V จะเป็น 380V ทันที เพราะ ไฟฟ้า 1 เฟส เกิดจากการดึง สาย L แต่ละเฟส มาแยกใช้งาน เมื่อ สายไฟ นิวตรอน N ขาด ก็จะเกิดความต่างศักดิ์ไฟฟ้า ระหว่าง L1:L2 หรือ L2:L3 หรือ L1:L3 แทน ซึ่ง ความต่างศักดิ์ไฟฟ้า จะได้ 380V

      

               การต่อไฟฟ้าแบบต่างๆ มีลักษณะใหญ่ๆ ดังนี้

 

·        จากมิเตอร์ไฟ 3 เฟส ต่อเข้าตู้เมนไฟฟ้าหลัก หรือ ตู้ MDB (Main distribution board) และ ต่อไปยังตู้เมนไฟฟ้ารอง หรือ ตู้ Load center และค่อยลดเป็นไฟ 1 เฟส ไปใช้งานใน ตู้คอนซูเมอร์ หรือ Consumer unit ต่อไป โดยในการใช้งานเครื่องพ่นปูนฉาบกับการต่อไปแบบนี้ ช่างต้องพิจารณาแยกแยะให้ได้ว่าเป็นการต่อไฟออกจาก ตู้ MDB หรือ ออกจากตู้ Load center หรือ ตู้ Consumer

ตู้ Load center จะไม่ต่อ N เข้ากับ บัสบาร์ G

 

 

ปัญหาที่พบบ่อย คือ

·        ช่างต่อ กราวด์G จากบรัสบาร์กราวด์ แต่ไม่ได้ต่อสายกราวด์ จริง ต้องตรวจเช็คว่าได้ต่อกราวด์

 

                           

·        มีวงจรในตู้ไฟเดียว แต่ ต่อ สายไฟ นิวตรอน N จากต่าง บรัสบาร์ หรือ เอานิวตรอน จาก บรัสบาร์กราวด์ ทำให้ไฟลัดวงจร

  

·        สายดินไม่ได้ต่อ หรือ สายดินไม่ได้มาตรฐาน โดยควรตรวจสอบและเข้าใจ คือ สายดินมีองค์ประกอบหลักๆ 2 ส่วน ได้แก่ สายตัวนำไฟฟ้า และหลักดิน ตามมาตรฐาน กำหนดให้ใช้สายที่มีฉนวนสีเขียวหรือสีเขียวสลับกับสีเหลือง และขนาดสายต่อหลักดิน จะมีขนาดใหญ่ขึ้น ตามขนาดสายเมน โดยทั่วไปที่อยู่อาศัยหรืออาคารขนาดเล็ก ขนาดสายเมนไม่เกิน 35 ตารางมิลลิเมตร จะใช้ สายต่อหลักดินจะใช้สายทองแดงหุ้มฉนวนขนาด 10 ตารางมิลลิเมตร ส่วนหลักดิน(Ground rod) จะทำจากเหล็กหุ้มด้วยทองแดง ขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง  16 มิลลิเมตร (5/8 นิ้ว) ความยาว 2.40 เมตร  และต้องตอกลงดินแล้วต้องมีความต้านทานการต่อลงดินไม่เกิน 5 โอห์ม

·        การวัดว่า สายดิน หรือ กราวด์ G มีการต่อหรือไม่วัดโดย ใช้มัลติมิเตอร์ วัด โดยมีรายละเอียด ดังนี้

วัดขั้ว N – สาย L  ให้ได้แรงดันไฟฟ้าอยู่ที่ 220V

วัดขั้ว N – สาย G ให้ได้แรงดันไฟฟ้า 0-2V ,วัดได้ 2-110V สายดินมีปัญหา

วัดขั้ว G – สาย L หรือไลน์ ให้ได้แรงดันไฟฟ้า 220V

 

·        จากมิเตอร์ไฟ 3 เฟส ต่อเข้าตู้เมนไฟฟ้าหลัก ต่อไปยัง ตู้คอนซูเมอร์ใช้งาน ตามภาพที่ 2

·        จากมิเตอร์ไฟ 1 เฟส ต่อเข้ากับ ตู้เมนไฟฟ้าหลัก และต่อไปยังเครื่องใช้งาน

2.    ชนิดของสายไฟที่ใช้ และ ความยาวของสายไฟที่มีผลต่อ แรงดันไฟฟ้า

2.1 ชนิดของสายไฟที่ใช้                           

·        สายภายใน สาย 60227 IEC01 ทองแดงสายฝอย ใช้ภายในอาคาร ใช้สำหรับเดินในท่อ จึงมีสายไฟชุดเดียว มีแบบเส้นเดียวและตีเกลียว มีสี L,N,G ให้เลือก ทนอุณภูมิ 70 องศา และ แรงดัน 450/750V โดยดูขนาด ได้ข้างสาย เช่น 1x2.5 SQ.MM. สายชนิดนี้ ฝังดิน,ผ่านน้ำขังไม่ได้ จึงไม่ควรใช้กับเครื่องพ่นปูนฉาบ ที่หน้างานก่อสร้าง

                            

·        สายภายใน สาย VAF และ VAF-G ใช้ภายในอาคาร มีลักษณะสายแบน ทองแดง แกนเดี่ยวแข็ง หรือ    ตีเกลียว เหมาะกับการเดินแบบรัดเข็มขัด และ มีแบบ 2 เส้น และ แบบ 3 เส้นมีกราวด์ ในตัว มีให้เลือก 1-16 SQ.MM.ทนอุณภูมิ 70 องศา และ แรงดัน 450/750V โดยดูขนาด ได้ข้างสาย เช่น 2x2.5/2.5 SQ.MM. คือ สาย 2 เส้น ขนาด 2.5 SQ.MM. และสายดินขนาด 2.5 SQ.MM. สายชนิดนี้ ฝังดิน,ผ่านน้ำขังไม่ได้ จึงไม่ควรใช้กับเครื่องพ่นปูนฉาบ ที่หน้างานก่อสร้าง                   

·        สายภายนอก สาย VCT , VCT-G ใช้ภายนอกอาคาร ทองแดงฝอย มีฉนวน PVC หุ้ม 2 ชั้น มีทั้งแบบ 1เส้น,2เส้น,3เส้น และ แบบ 3 เส้นมีกราวด์ ในตัว ทนอุณภูมิ 70 องศา และ แรงดัน 450/750V โดยดูขนาด ได้ข้างสาย เช่น 2x4X4 SQ.MM. คือ สาย 2 เส้น ขนาด 4.0 SQ.MM. และสายดินขนาด 4.0 SQ.MM. ขนาดของสายไฟ มี 4,6,10,16,25,35 SQ.MM. สายชนิดนี้ ฝังดิน,ผ่านน้ำขังได้ สามารถใช้กับเครื่องพ่นปูนฉาบในหน้างานก่อสร้าง

·        สายภายนอก สาย 60227 IEC53 มีลักษณะคล้ายสาย VCT มากแต่ใช้ ฝังดิน ไม่ได้ ทองแดงสายฝอย ทนแรงดัน 300/500V น้อยกว่าสาย VCT ฝังดิน,ผ่านน้ำขัง ไม่ได้ จึงไม่ควรใช้กับเครื่องพ่นปูนฉาบ ที่หน้างานก่อสร้าง

·        สายภายนอก สาย NYY , NYY-G ใช้ภายนอกอาคาร ทองแดงแกนเดี่ยวแข็ง มีฉนวน PVC หุ้ม 2หรือ3 ชั้น มีทั้งแบบ 1เส้น,2เส้น,3เส้น,4เส้น , 2,3,4เส้นมีกราวด์ ในตัว โดยสายกราวด์ มีขนาดครึ่งเดียวของสายปกติ ทนอุณภูมิ 70 องศา และ แรงดัน 450/750V โดยดูขนาด ได้ข้างสาย ขนาดของสายไฟ จะมีขนาดหลากหลาย ตั้งแต่ 1 ไปจน ถึง 500 SQ.MM ใช้ในงานไฟ 3 เฟส หรืองานโรงงาน

·        สายภายนอก CV ใช้ภายนอกอาคาร ทองแดงฝอย มีฉนวน PVC หุ้ม 2 ชั้น เป็นฉนวน XLPE และ ฉนวน PVC มีทั้งแบบ มีทั้งแบบแกนเดี่ยวและหลายแกน ที่สำคัญ คือ ทนอุณภูมิ 90 องศา สายชนิดนี้ ฝังดิน,ผ่านน้ำขังได้ สามารถใช้กับเครื่องพ่นปูนฉาบในหน้างานก่อสร้าง แต่ไม่ได้ใช้แพร่หลายมากนัก            

2.2 ความยาวของสายไฟ ที่มีผลต่อแรงดันไฟฟ้า V ตก

หากแรงดันไฟฟ้าตกเกิน 5% อาจจะทำให้เครื่องพ่นปูนฉาบไม่สามารถทำงานได้ โดย ให้พิจารณาว่า ขนาดของตัวนำ SQ.MM เล็กไปหรือไม่ และ ความยาวสายไฟยาวไปหรือไม่ การปรับแก้ ก็ดำเนินการ เปลี่ยนขนาดสายไฟ หรือลดความยาวสายไฟให้เหมาะสมนั่นเอง

การคำนวณแรงดันตก เบื้องต้น จะคิดเฉพาะ แรงดันตกสำหรับสายไฟฟ้า ฉนวน PVC แกนเดียว และ หลายแกน ที่อุณภูมิ 70 องศาเซลเซียสแรงดันตก (Voltage Drop) คือ ความแตกต่างระหว่างขนาดแรงดันไฟฟ้าที่จุดแหล่งจ่ายต้นทาง และจุดรับไฟฟ้า เกิดเนื่องจากการที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านสายไฟฟ้าที่มีค่าอิมพีแดนซ์ (Impedance : Z=R+jX) ของตัวสายไฟฟ้าเอง โดย

                        Z  = อิมพีแดนซ์

                       R  = รีซิสแตนซ์(Resistance)  = ค่าความต้านทาน โอห์ม

                       X  = อินดักทีฟ รีแอคแตนซ์( Inductive Reactance ) = ค่าความต้านทานของขดลวด โอห์ม

 

 

 


-
กรณีรับไฟแรงต่ำจากการไฟฟ้าฯ แรงดันตกคิดจากเครื่องวัดฯ จนถึงจุดใช้ไฟจุดสุดท้ายรวมกัน ต้องไม่เกิน 5% จากแรงดันที่ระบุ (230/400V)

-
กรณีรับไฟแรงสูงจากการไฟฟ้าฯ แรงดันตกคิดจากบริภัณฑ์ประธานแรงต่ำ (MDB) จนถึงจุดใช้ไฟจุดสุดท้ายรวมกันต้องไม่เกิน 5% จากแรงดันที่ระบุ (230/400V)
เพื่อความสะดวก ในการใช้งานเครื่องพ่นปูนฉาบ ดูจากตาราง เทียบ ดังนี้

ตาราง แรงดันตก สำหรับสายไฟฟ้า ฉนวน PVC หลายแกนที่ 70°C

1,000 mV = 1V

 

 

         ตัวอย่าง หน้างาน 1 เฟส ใช้สายไฟ ขนาด 16SQ.MM. ยาว 200 ม. ต่อเครื่องพ่นปูนฉาบที่ความยาว 200 ม. พอดี  = แรงดันไฟฟ้าจะตกไป (2.8/1000)x200เมตรx15A = 8.4V แต่ แรงดันไม่ควรลดเกิน 5% แสดงว่าที่ความยาวนี้ อาจใช้เครื่องพ่นปูนฉาบไม่ได้ เป็นต้น

เพื่อให้ง่ายสำหรับช่างหน้างาน จึงทำตาราง ด้านล่าง นี้ เพื่อประกอบการตัดสินใจ เรื่องขนาดสายไฟ และ ความยาวสายไฟ โดย กำหนดให้เครื่องพ่นปูนฉาบ ไฟบ้าน ใช้ กระแส 15A และ ไฟ 3 เฟส ใช้กระแส 18A          

3.    การต่อเบรกเกอร์ปกติ และ ระบบป้องกันดูดในตู้ไฟ

 

3.1 โดยปกติ การต่อสาย L สาย N และสาย G และต่อไฟในตู้ไปใช้กับเครื่องพ่นปูนฉาบ จะเป็นดังนี้ ซึ่ง ไม่ควร ต่อสายจากท้ายมิเตอร์ของการไฟฟ้า ,ไม่ควร ต่อสาย ก่อนผ่านเบรคเกอร์

 

3.2 ปัจจุบันมีการใช้งาน เซอร์กิตเบรกเกอร์ และอุปกรณ์ป้องกันไฟรั่วไฟดูด ที่หน้างานเพื่อความปลอดภัย แบบต่างๆ ควรต่อไฟ ใช้กับเครื่องพ่นปูนฉาบ ดังนี้

3.2.1การต่อแบบมีเซอร์กิตเบรกเกอร์ และอุปกรณ์ป้องกันไฟรั่วไฟดูด MCB&RCCB ทำหน้าที่เป็นเมน

3.2.2การต่อแบบมีเซอร์กิตเบรกเกอร์ และอุปกรณ์ป้องกันไฟรั่วไฟดูด MCB&RCCB ทำหน้าที่เป็นเมน และมีการแยกคุมวงจร เป็น วงจรใช้กับอุปกรณ์ไม่กันไฟรั่วไฟดูด และ วงจรป้องก้นไฟรั่วไฟดูด

 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การเช็ควาล์วเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง

งานช๊อตกรีต (Shotcrete)

ระบบผนังหล่อในที่ โดยใช้แบบ อลูมิเนียมฟอร์มเวิร์ค