เทคนิคการพ่นสี
ในงานสีพ่นรถยนต์และสีอุตสาหกรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความสวยงามแก้ชิ้นงานและปกป้องชิ้นงานนั้นจากสภาวะแวดล้อม เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว ควรจะเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจในทฤษฎีการพ่นสีที่ถูกต้องเสียก่อนที่จะลงมือปฎิบัติจริง
ทำความเข้าใจคู่มือของสีที่จะพ่น
ไม่ว่าจะเป็นสีพ่นรถยนต์หรือสีอุตสาหกรรม จะมีวิธีการใช้งานอยู่ที่บริเวณข้างกระป๋อง หรือผู้ใช้งานสามารถขอเอกสารทางเทคนิคกับทางโรงงานผู้ผลิตสีได้ โดยควรศึกษาอัตราส่วนการผสม หากเป็นสี 2K ต้องเลือกใช้ฮาร์ดเดนเนอร์ตามที่ทางโรงงงานผู้ผลิตสีระบุเท่านั้น เลือกทินเนอร์แบบแห้งช้าหรือแห้งเร็วตามลักษณะชิ้นงานและอุณหภูมิห้องพ่น สามารถปรับสีให้ได้ความหนืดตามที่ระบุในคู่มือหากเป็นเคลียร์เคลือบเงา 2K สำหรับสีพ่นรถยนต์สามารถปรับทินเนอร์ให้เหลวลงตามความเหมาะสมของช่างผู้ใช้งานได้ กะปริมาณที่จะใช้แล้วจึงทำการผสมสี
เลือกอุปกรณ์พ่นสีที่เหมาะสม
ในคู่มือการใช้งานจะมีระบุวิธีการในการใช้งานสี เช่น ทาด้วยแปรง พ่นด้วยปืนพ่นสีหรือกลิ้งด้วยลูกกลิ้ง ในกรณีของสีอุตสาหกรรมและสีพ่นรถยนต์นั้น การพ่นสีด้วยปืนพ่นสีที่นิยมใช้ได้แก่
1. Air
Spray ซึ่งเป็นการใช้แรงอัดอากาศเพื่อให้สีถูกดันออกมาเป็นละออง สามารถใช้ได้กับสีทุกชนิด เป็นที่นิยมในอู่พ่นสีรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรมทั่วไป ซึ่งจะมีใช้ทั้งแบบกาบน (Gravity
Feed) หรือแบบกาล่าง (Suction Feed) เนื่องจากอุปกรณ์ราคาไม่แพง หาซื้อได้ง่ายในท้องตลาด ใช้งานง่าย และให้ฟิล์มสีที่สวยงาม
2. Airless
Spray จะเป็นการพ่นสีแบบที่ไม่ใช้ลม แต่ใช้ High
Pressure Pump แทน ตัวสีจะถูกให้แรงดันในปริมาณสูงจากนั้นจะส่งผ่านช่องเล็ก ๆ ให้สีออกมาเป็นละออง การพ่นสีแบบ Airless
Spray นั้นจะทำให้สามารถพ่นสีได้ฟิล์มหนา แต่ฟิล์มสีจะไม่เรียบเนียน ดังนั้นจึงเหมาะใช้กับงานสีอุตสาหกรรมหรือสีป้องกันสนิมที่ต้องการฟิล์มสีที่หนาแต่ไม่เน้นเรื่องความสวยงาม สำหรับงานพ่นสีทับหน้าของสีพ่นรถยนต์นั้นจะไม่เหมาะสมนัก
3. Electrostatic
Air Spray มีการนำเอาไฟฟ้าสถิตเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำการชาร์จไฟประจุลบด้านปลายปืนพ่นในระดับศักย์ไฟฟ้าที่เหมาะสม พอสีผ่าน Electrode บริเวณปลายปืนจะมีประจุอิเล็กตรอนส่งต่อเข้าไปภายในเม็ดสี เมื่อมีการพ่นสีจะมีประจุลบ แล้วพุ่งตรงไปยังตัววัตถุที่เป็นประจุบวก นิยมใช้กับการพ่นสีวัตถุให้ดูเรียบเนียนและการสูญเสียสีจะน้อยกว่าแบบอื่นๆ
นอกจากการเลือกวิธีการพ่นแล้ว ผู้ใช้ต้องเลือกเส้นผ่านศูนย์กลางของรูพ่นสี (Nozzle) ให้เหมาะสมความถนัดของช่างผู้ใช้และเหมาะสมกับสีประเภทนั้นๆด้วย (โดยปกติจะมีระบุอยู่ในเอกสารคู่มือหรือบริเวณข้างกระป๋องสี) โดยมีวิธีการเลือกเบื้องต้นดังนี้
·
สีรองพื้นและกลบรอย เหมาะกับรูพ่นสีขนาด 1.5-2.0
มม.
·
สีเบสโค้ทเหมาะกับรูพ่นสีขนาด 1.3-1.5
มม.
·
สีจริงทับหน้าและเคลียร์ 2K เหมาะกับรูพ่นสีขนาด 1.2-1.5
มม.
ทฤษฎีการพ่นสีเบื้องต้น
·
ปรับตามทิศทางรูปร่างสีบริเวณฝาครอบหัวลม ปรับรูปร่างหน้ากว้างของละอองสี (Pattern) ตรงน็อตหัวปืน โดยควรปรับให้เหมาะสมกับชิ้นงาน
·
ปรับปริมาณเนื้อสีที่พ่น หมุนน็อตออกเนื้อสีจะมากขึ้น หมุนน็อตเข้าเนื้อสีจะน้อยลง
· ปรับแรงดันลม โดยการหมุนน็อตเข้าแรงดันลดลง สีที่พุ่งออกจะไม่ค่อยแตกละอองฝอย แต่ถ้าปรับแรงดันลมด้วยการคลายสกรูจะได้ปริมาณสีมากขึ้น ทว่าการปรับแรงดันลมจะสัมพันธ์กับการปรับรูปร่างสี ระยะห่างของปืน และความเร็วในการเดินปืนพ่นสีด้วย ทั้งนี้ในคูมือมักจะระบุแรงดันลมที่เหมาะสมในการพ่นสีด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น